17/11/56

แอสไพรินธรรมชาติ

 แอสไพรินเป็นยาต้องห้ามมานานแล้ว

   แต่หลายคนพอจะนึกออกว่า คุณสมบัติของยาแอสไพรินนั้น ใช้เป็นยาแก้ไข้และระงับประสาท ซึ่งอาหารใกล้ตัวหลายอย่างก็มีสารที่มีฤทธิ์คล้ายคลึงกัน แต่ปลอดภัยไร้กังวล

   
แอปริคอท ภาพจาก www.krotron.com
อาหารที่ว่านั้นคือผลไม้สดรสอร่อย หาซื้อกินก็ไม่ยาก ได้แก่ ส้ม ราสพ์เบอร์รี่ แอพริคอต และเชอร์รี่ ซึ่งในผลไม้เหล่านี้จะมีสารแซลลิซิเลท ตามธรรมชาติอยู่ ซึ่งสารแซลลิซิเลทเป็นสารที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในตัวยาแอสไพรินนั่นเอง โดยเฉพาะเชอรี่ 


เชอรี่ ภาพจาก http://women.thaiza.com

เชอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 30-80 ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอความแก่ และช่วยต้านอนุมูลอิสระ เชอร์รี่ยังมีคุณสมบัติช่วยให้สาวๆ ทั้งหลายอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผลจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ทำให้คนกินมีความสุข

ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียกเชอร์รี่ว่าเป็น แอสไพรินธรรมชาติ




ราสเบอร์รี่ ภาพจาก http://picpost.mthai.com/view/30419
ส่วนราสเบอรี่สุดยอดผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่างๆมากมายแก่ร่างกาย โดยเฉพาะ "สารต้านอนุมูลอิสระ" ส่วนสารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยให้การหมุนเวียนของโลหิต เป็นปกติ และยังอุดมด้วยวิตามินA , B ช่วยให้ผิวพรรณสดใส สมานแผลต่างๆให้หายเร็วขึ้น


          จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เรามักจะได้ยินว่า เวลาเป็นไข้ให้กินผักผลไม้เยอะๆ จะช่วยให้แข็งแรงและฟื้นตัวได้ดีขึ้น

   นอกจากนี้ ในเครื่องปรุงอาหารบางชนิดก็มีสารที่มีคุณสมบัติคล้ายๆ กันด้วย ได้แก่
อบเชย ผงกะหรี่ พริกป่น และใบไทม์

   
อบเชย ภาพจาก http://fda.surinpho.com


ใบไทม์ ภาพจาก http://news.enterfarm.com
 “ไทม์” มีสาร “ทายมอล” อยู่มาก ซึ่งสารดังกล่าวจะช่วยในการย่อยอาหาร แก้ท้องอืด และทำให้เจริญอาหารดี ยอดและใบของ “ไทม์” ยังนำไปสกัดเป็นน้ำมันไทม์ได้รับความนิยมไปปรุงอาหารอย่างแพร่หลาย ไม่แพ้การใช้ น้ำมันมะกอก น้ำมันงา กลิ่นสดๆของ “ไทม์” ดมแล้วทำให้ดีต่อระบบทางเดินหายใจ ช่วยกระตุ้นระบบย่อย

คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่า กินอาหารดี ก็ถือเป็นยาดีที่สร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายด้วยเช่นกัน

ข้อมูลจาก Thai Za และ นิตยสารชีวจิต

8/11/56

น้ำผึ้ง กับ อบเชย สรรพคุณสุดยอด




น้ำผึ้งกับอบเชย สรรพคุณสุดยอด






น้ำผึ้้ง ประกอบด้วย น้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย 

น้ำผึ้ง ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้าทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น 

น้ำผึ้ง ยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว 
น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติที่ให้ประโยชน์สูงและหาง่าย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ น้ำผึ้ง บำรุงผม ซึ่งจะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม
     


คุณประโยชน์ของ น้ำผึ้ง นั้นพบว่า ใน น้ำผึ้ง มีสารแอนติออกซิเดนท์ (Antioxidant) หรือสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียว และยังมีวิตามินบี วิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ซึ่งทำให้ น้ำผึ้ง กลายเป็นยาวิเศษ อายุวัฒนะ และอุดมไปด้วยวิตามินนานาชนิดที่เก็บไว้นานโดยไม่เสื่อมสลายง่าย

น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสียหรือบูดเน่า แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ในที่มืดนานๆมันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆเย็นลงจนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลายเอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง


  



อบเชย  (อังกฤษcinnamon) เป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม ได้มาจากเปลือกไม้ชั้นในที่แห้งแล้วของต้นอบเชย แท่งอบเชยมีสีน้ำตาลแดง มีลักษณะเหมือนแผ่นไม้แห้งที่หดงอหลังจากโดนความชื้น มักจะเรียกตามแหล่งเพาะปลูกเช่น อบเชยจีน อบเชยลังกา อบเชยญวน เป็นต้น ในประเทศไทยไม่นิยมปลูกเพราะภูมิอากาศไม่เหมาะสม

แท่งอบเชยสีน้ำตาลแดง ลักษณะคล้ายแผ่นไม้แห้งที่หดงอหลังจากสัมผัสความชื้น หรือสำหรับสาวคนใดที่ชื่นชอบของหวาน คงคุ้นเคยกับผงอบเชยละเอียดที่โรยหน้าลงบนขนมหวานอย่าง ชินนามอนโรล 

โบราณ อบเชยเป็นยาขนานเอกที่คนไทยใช้บำบัดนานาอาการเจ็บป่วย เพียงลอกเปลือกไม้จากต้นอบเชย ต้มในน้ำเดือด ก็กลายเป็นยารักษาอาการอาหารไม่ย่อย แก้ท้องเสีย ขับลม ขับพยาธิ หรือหากบดเป็นผง ปรุงเป็นยานัตถุ์ ก็สามารถใช้แก้อาการปวดศีรษะ แก้ไข้ แก้ไอ อ่อนเพลีย ไปจนถึงโรยบนแผลเปิดเพื่อช่วยห้ามเลือด และเร่งการสมานแผล

















น้ำผึ้งกับอบเชย






น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก)ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน  สรรพคุณของน้ำผึ้งกับอบเชยจากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกมีดังนี้ :


1.   โรคหัวใจ (Heart Diseases)

เอาน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปังแทนเยลลีและแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้าจะช่วยลดคอเรสเตอรอล  ในเส้นเลือดและช่วยลดอาการหัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำ ก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา 

ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมาก็จะทำให้ระบบหายใจดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนนาดาสถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่นและอุดตันได้ง่าย น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้

2.   โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)

ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทานเป็นประจำโดย

    
ชงน้ำผึ้ง ช้อนกับผงอบเชย ช้อนชาในน้ำร้อนขนาดถ้วย กาแฟทุกเช้าและเย็น ก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้ จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน พบว่าหมอให้คนไข้รับประทานน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชยขนาด ครึ่งช้อนชาก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา สัปดาห์คนไข้จำนวน 73  คนจากจำนวนทั้งหมด 200 คนที่เข้าร่วมโครงการทดลองมีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ เดือนปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด

3.  โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections)

         ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาชงในน้ำอุ่น แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ

4.  คลอเลสเตอรอล (Cholesterol)

    ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย ช้อนชาในน้ำชาขนาด 16 
ออนซ์ให้คนไข้ที่มีระดับ
คลอเลสเตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภายในเวลา 2 ชั่วโมงระดับคลอเลสเตอรอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ 

ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ เวลาคลอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้ ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิพร้อมอาหารเป็นประจำทุกวันช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

5.  ไข้หวัด(Colds)

สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดหวัดทั่วไปหรือไข้หนักควรชงน้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย ¼ ช้อนทุกวันเป็นเวลา 3 วันก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและจมูกโล่ง

หรือจะลองสูตรเพิ่มขิงตามนี้ได้เลย






สูตรยาแก้หวัด 

1. น้ำมะนาว 1 ผล
2. น้ำขิง
3. น้ำผึ้ง 2 ช้อน
4. อบเชยป่น ครึ่งช้อนชา

ผสมในน้ำร้อน จิบทั้งวัน ทั้งอบเชยและน้ำผึ้งเป็นยามหัศจรรย์ พอผสมกับมะนาว และ น้ำขิง จะทำให้หวัดหาย และลดอาการไอ เจ็บคอได้






6.  อาการท้องอืด( Upset Stomach)

   ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้อาการปวดท้องทุเลาและยังช่วยลดอาการแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย 


7.  ลมในกระเพราะ (Gas)

ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่า ถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลดลมภายในกระเพาะอาหารลงได้ 


8.  ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย( Immune System)

การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวันจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส 
นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้งมีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก การรับประทานน้ำผึ้งประจำยังเพิ่มเม็ดเลือดขาว เพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ 
   
9.  อาหารไม่ย่อย(Indigestion)

โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด ช้อนโต๊ะ และรับประทานก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารและช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อหนักได้ดี 


10.  ไข้หวัดใหญ่( Influenza)

นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่





11.  ยาอายุวัฒนะ(Longevity)

การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำช่วยชะลอความชรา 

วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย ช้อน น้ำเปล่าต้มสะอาด  ถ้วย ชงให้เหมือนชา ดื่ม ¼ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปี
ให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี (สังเกตว่าจะไม่นำน้ำผึ้งไปผสมในน้ำร้อนนะคะจะทำให้วิตามิน ในน้ำผึ้งหายไปค่ะ จึงควรผสมอบเชยกับน้ำร้อนก่อน แล้วค่อยผสมน้ำผึ้งตามทีหลังนะคะ)





12.   แก้สิว (Pimple)

ผสมน้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย ช้อนชาคนให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอนและล้างออกในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้


13.  ผิวหนังติดเชื้อ(Skin Infections)

ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆกันทาบริเวณที่ติดเชื้อ จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนังชนิดต่างๆได้



14.  ลดน้ำหนัก (Weight Loss)

ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆเช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง ขณะท้องว่าง และก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนักแม้คนที่อ้วนมากๆ  เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้จะช่วยไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกายแม้กระทั่งในคนที่รับประทานอาหารทีมีพลังงานสูง

15.  โรคมะเร็ง(Cancer)

ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ผู้ทีเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งกระดูกในขั้นมากๆแล้วสามารถบรรเทาอาการได้   ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าวควรดื่มน้ำผึ้ง ช้อนโต๊ะผสมผงอบเชย 1 ช้อนชาเป็นประจำ เวลาประมาณ เดือน


16.  แก้อาการอ่อนเพลีย(Fatigue) 

ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่าน้ำตาลในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยทีรับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณเท่าๆกัน ช่วยให้กระปรี้กะเปร่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น 


ดร. มิลตันที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะในแก้วหนึ่งแก้วโรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำหลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ 15.00 น.เมื่อร่างกายเริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวาใน 1สัปดาห์

17.  ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath)

ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง ช้อนชากับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน

18.   ช่วยการได้ยิน (Hearing Loss)

      การรับประทานน้ำผึ้งและผงอบเชยผสมกันในปริมาณเท่าๆกันเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอนจะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม 

ข้อมูลจาก  1. Wikipedia
                  2. Today's science
                  



6/11/56

อาหารที่กินคู่กัน.....อันตรายจริงหรือ

การส่งต่อๆ กันอย่างแพร่หลาย ในโลกออนไลน์ตอนนี้ คือ "อาหารที่กินคู่กัน...อันตราย" ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจ เช่น


 หัวไช้เท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว ห้ามกินด้วยกัน จะเป็นโรคผิวหนัง



 เต้าหู้กับน้ำผึ้ง ห้ามกินด้วยกันจะทำให้หูหนวก




 มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด ห้ามกินรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า



 หัวไช้เท้ากับผลไม้ทุกชนิด ห้ามกินรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก



 กล้วยกับเผือก ห้ามกินด้วยกัน จะทำให้ท้องอืด



มันเทศกับลูกพลับ ห้ามกินรวมกัน จะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร



 กล้วย มะละกอ แตงโม ห้ามกินด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน



 ทุเรียนกับน้ำอัดลม ให้พิษร้ายมากกว่าพิษงูเห่า


 ขิงดอง ห้ามเข้า ตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรคมะเร็ง




 เหล้าขาวกับเบียร์ ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก 

นายสง่า ดามาพงษ์ อุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อธิบายว่า ข้อมูลในโซเซี่ยลมีเดียก็จำเป็นต้องหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งอื่น เนื่องจากบางเรื่องนั้น ไม่มีข้อมูลทางเอกสารวิชาการมากพอที่จะยืนยันว่าจริงเท็จแค่ไหน บางอย่างเป็นเพียงความเชื่อ แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

แต่เพื่อความปลอดภัยก็ไม่ควรรับประทานอาหารแปลกๆ หรือพิสดารมากๆ เพราะอาจเสี่ยงได้รับอันตรายสูง

แต่ตามหลักการทั่วไป การได้รับพิษจากอาหารนั้นมาจาก 4 สาหตุ คือ 

1.เกิดจากพิษในตัวอาหารเอง 
2.เกิดจากการปนเปื้อนของสารเคมี เช่น การกินอาหารทะเลปนเปื้อน หรือผักปนเปื้อน 
3.การปนเปื้อนของเชื้อโรค จุลินทรีย์ ทำให้อาหารบูดเน่า 
4.อาหารที่มีพยาธิ ปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ปลาดิบ เป็นต้น

สำหรับข้อมูลที่บอกว่ากินหัวไช้เท้ากับผลไม้ทุกชนิดจะทำให้เกิดคอพอก หรือเต้าหู้กับน้ำผึ้งหากกินด้วยกันจะทำให้หูหนวก ไม่มีข้อมูลวิชาการมายืนยัน 

แต่กรณีการกินถั่วลิสงกับฟักทองจะทำให้ลำไส้อักเสบนั้น ตามหลักโภชนาการไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจากถั่วลิสงเป็นไขมัน ฟักทองมีวิตามินเอ ซึ่ง ไขมันจะทำละลายวิตามินเอได้ดี เป็นผลดีมากกว่าเสีย
มีเพียงบางเรื่องที่ตามหลักวิชาการมีความเป็นไปได้ คือ การดื่มเหล้าขาวกับเบียร์ร่วมกันจะทำให้เส้นเลือดสมองแตกได้ ตรงนี้มีความเป็นไปได้ เพราะเหล้าขาวมีดีกรีสูง หากดื่มร่วมกับเบียร์จะยิ่งทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้น เสี่ยงอันตรายได้
ส่วนการกินทุเรียนกับน้ำอัดลมร่วมกันมีพิษร้ายมากกว่างูเห่านั้น อาจดูรุนแรงเกินไป แต่อันตรายย่อมมี เพราะทุเรียนกับน้ำอัดลม มีทั้งแก๊สและน้ำตาล จะส่งผลให้เกิดอาการช็อกได้ ดังนั้นการรับประทานอะไรต้องระมัดระวังให้ดี
วิธีการรับประทานให้ถูกหลัก คือ เลือกกินอาหารที่หลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม เกินไป และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ประโยชน์จากการดื่มน้ำอุ่นธรรมดา

ประโยชน์ไม่ธรรมดา จากน้ำอุ่นธรรมดา
         


 น้ำอุ่นธรรมดาในแก้วธรรมดา ซ่อนประโยชน์มากมายไว้เกินกว่าที่คุณคิด 
ขอนำความลับหลากประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่น จากหนังสือ ดื่มน้ำอุ่นลดหุ่น สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ มาฝาก



          1. ช่วยป้องกันอาการบวมน้ำและความอ้วนจากไขมันสะสมการดื่มน้ำอุ่นอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส จะช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกาย และเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหารและขยายหลอดเลือด จึงช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้



          2. ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ลดการกินอาหารเกินจำเป็น การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอบอุ่นที่เยื่อเมือกในช่องปาก เพิ่มความเร็วในการไหลเวียนเลือดไปยังกระเพาะอาหาร ซึ่งจะส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ว่าอิ่มเร็วขึ้น จึงลดการกินอาหารส่วนเกินได้


          3. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยสร้างความอบอุ่นและกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายใน ทำให้ระบบย่อยอาหารสามารถแยกสารอาหารที่ร่างกายต้องการออกจากอาหารที่กินได้


          4. ช่วยแก้อาการมือเท้าเย็น เมื่อร่างกายเย็น อวัยวะภายในจะเก็บสะสมไขมันไว้มากขึ้น เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกาย ซึ่งน้ำอุ่นจะมาช่วยเพิ่มอุณหภูมิและปรับสมดุลความเย็น ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายกลับคืนสู่ความภาวะปกติ


          5. ช่วยปรับสภาพผิวแห้งและบอบบาง เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดได้ถึง 3,000 มิลลิลิตรต่อนาที ทำให้เอนไซต์ภายในเซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า และยับยั้งการสร้างเม็ดสีตัวการของผิวหมองคล้ำได้อีกด้วย


          6. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยป้องกันอาการเลือดข้นกว่าปกติ จึงไม่เป็นต้นเหตุแพร่กระจายของแบคทีเรียในร่างกาย และยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวที่เป็นส่วนสำคัญของภูมิชีวิต ทำให้ร่างกายแข็งแรง ป่วยยากขึ้น

          มาเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นแทนน้ำเย็น เพื่อมอบหลากประโยชน์ไม่ธรรมดาแก่ร่างกายกัน

จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 362